หน่วยพื้นฐานที่ควรรู้ ตอนที่ 1
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า สีจะประกอบไปด้วย 3 ลักษณะ คือ สีสัน (Hue) ความสว่าง (Lightness) ความอิ่มตัว (Saturation) 3 ลักษณะนี้ถูกนำมาสร้างแบบจำลองสี หลังจากนั้นได้มีการคิดค้นหาวิธีการวัดสีในเชิงตัวเลข เพื่อให้คนสามารถสื่อสารเรื่องสีได้อย่างง่ายขึ้นและแม่นยำ
โดยองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของสีและแสง คือ The Commission International Del’ Eclairage (CIE) มีระบบที่ได้รับความนิยมแพร่หลายมากที่สุดอยู่ 2 ระบบคือระบบ Yxy ซึ่งเริ่มใช้ในปี ค.ศ.1931 คำนวณจากค่าไตรสติมูลลัส XYZ ตามมาตรฐานของ CIE และระบบ L*a*b* เริ่มนำมาใช้ในปี 1976 ซึ่งทำให้ความแตกต่างของสีมีระยะสัมพันธ์ใกล้กับความแตกต่างที่มองเห็นด้วยสายตามากขึ้น ปริภูมิ (Color Space) เหล่านี้ ถูกนำมาใช้ในสื่อสารในระบบสีของโลกอยู่ในปัจจุบัน
รูปที่ 1 ความไวแสงของตามษุษย์ รูปที่ 2 ไดอะแกรมสี x,y ปี 1931
(Color-Matching Functions/1931 Standard Observer)
ค่าไตรสติมูลัส XYZ และ ปริภูมิสี Yxy
ค่าไตรสติมูลัส XYZ และปริภูมิ Yxy ถือว่าพัฒนามาจากระบบสี CIE ซึ่งมีแนวพื้นฐานมาจากทฤษฏี 3 องค์ประกอบ (Three-component theory) ในการมองเห็น ได้กล่าวไว้ว่า ตาของมนุษย์ประกอบด้วยเซลล์ไวแสงสามสี คือ สีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน และสีทั้งหมดที่เรามองเห็นเกิดจากการผสมของสามสีหลัก
ในปี ค.ศ. 1931 CIE ได้ให้กำหนดมาตรฐานการมองเห็นของมนุษย์เพื่อให้ได้ฟังก์ชั่นความไวแสงของเซลล์ทั้งสาม (Color-Matching Function) x(λ),y(λ), และ z(λ) ดังรูปที่ 1 ค่าไตรสติมูลสั XYZ แต่เนื่องจากค่าไตรสิมูลัส XYZ นี้ นำไปแปลความหมายของสีได้ค่อนข้างยาก ดังนั้น CIE จึงนำเสนอปริภูมิสีใหม่ในปี 1931 เป็นรูปกราฟ 2 มิติโดยไม่รวมความสว่างเข้ามาด้วย เรียกว่า ปริภูมิ Yxy (Yxy Color Space) ทั้งนี้ให้ Y แทนค่าความสว่าง (ค่าไตรสติมูลัส) ส่วนค่า X และ Y คือ ค่าสัมประสิทธิ์ของสีที่จากากรคำนวนค่าไตรสติมูลัส XYZ ไดอะแกรมแสดงปริภูมิสีในระบบนี้ ได้แสดงดังรูปที่ 2 ซึ่งจากไดอะแกรมดังกล่าว บริเวณที่เข้าใกล้จุดกึ่งกลางจะไม่มีสีและสีจะสดเมื่อเข้าใกล้ขอบมากขึ้น
สามารถอ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องมือวัดสีวัดแสง ได้ ที่นี่
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อเรา 092-384-4664 หรือ ส่งอีเมล์ถึงเราได้ที่ teamiie@centasiathai.com